วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ความรู้เรื่องขายตรง ฉบับชาวบ๊านชาวบ้าน

 
 "อะจึ๊ย อะจ๊าก อย่ามาใกล้ฉันนะ อย่ามาหลอกฉันนะ ลูกโซ่ป่าวววว ฉันไม่ชอบขาย" ประโยคเหล่านี้มักได้ยินออกจากปากของคนหลายๆคนที่เฉียดกรายเข้ามาใกล้ขายตรง โดยเฉพาะคนที่ไม่เข้าใจหลักการที่แท้จริงของคำว่า "ธุรกิจเครือข่ายขายตรง" (ต่อไปนี้ผมขอเรียกสั้นๆว่าขายตรง)
    ความเข้าใจน้อยหรือไม่เข้าใจอาจทำให้คนกลัว บางคนไม่เคยเห็นผีแต่แค่เรื่องเล่าก็ทำเราขนหัวลุก เฉกเช่นเดียวกับ บางคนไม่เคยทำขายตรง ก็อาจจะกลัวมากกกเพราะคำร่ำลือในทางลบ
   ฉะนั้นมาร่วมเดินทางสู่เบสิกขายตรง มาเรียนรู้ขายตรงกันแบบฉบับบ้านๆกันครับ
        สินค้าที่เราซื้อกินซื้อใช้ทุกวี่วัน คือ ค่าใช้จ่ายที่จ่ายออกไปในทางเดียว มองให้ลึกถึงเส้นทางของราคาสินค้าต่างๆที่เราซื้อกินซื้อใช้ เชื่อไมว่า สมมติว่าสินค้า 100 บาท ราคาจากแหล่งผลิตจริงๆ ไม่เกิน 40 บาท ที่เหลือ 60 บาทของราคาสินค้าท่านต้องจ่ายค่าอะไรบ้าง มาดูกัน
           - ค่ารถ-ค่าขนส่งจากโรงงานมายัง ตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่(ยี่ปั๊ว)  และร้านค้าปลีกรายย่อย
           - ค่าโฆษณาอันน่าตื่นเต้นในจอทีวีหรือหนังสือพิมพ์หรือวิทยุ คล้ายๆกับว่าท่านต้องจ่ายเพื่อชมโฆษณา (ไม่ดูโฆษณาก็ยังต้องจ่ายถ้าท่านไปซื้อสินค้าเขาโดยคนอื่นบอกต่อ) ซึ่งสัดส่วนของส่วนการโฆษณามีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงกว่าเรื่องอื่นๆ
           - ค่าบริหารจัดการอื่นๆ เช่า จ้างพนักงาน,เช่าคลังเก็บสินค้า บริษัทผู้จัดจำหน่ายสินค้าก็ใจดีให้เรามีส่วนร่วมหารเป็นหุ้นส่วนจ่ายด้วย (แต่เวลาปันผลออกเราไม่เกี่ยวนะครับ 555)
          หลายท่านอาจตกใจเมื่อรู้แบบนี้....
          อย่าตกใจไปเลยครับ เพราะมันเป็นแบบนี้แต่ไหนแต่ไหร่แล้วตั้งแต่มีการจำหน่ายสินค้าแบบมวลชนหรือจำหน่ายให้กับประชาชนหมู่มาก
         ขณะนั้นเองคฑาชายผู้ชาญฉลาดในหมู่มวลชนที่ก้มหน้ากัมตาซื้อสินค้าแบบระบบดั้งเดิม ได้ฉุกคิดถึงเรื่องราวบางอย่างจากการสังเกตว่า เมื่อซื้อสินค้ามาใช้แล้ว รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง "ว้าว พระเจ้ายอร์จ มันจอร์จมาก" เก็บเอาไว้ไม่อยู่แล้วต้องไปเมาท์ป่าวประกาศกับเพื่อนๆหน่อยว่า สินค้าที่ฉันใช้อยู่วิเศษเพียงใด ในสายตาคฑาชายผู้ชาญฉลาดเฝ้าสังเกตถึงสิ่งเหล่านี้ แล้วตั้งคำถามว่า "ธรรชาติของคน คือ ซื้อสินค้ามาใช้แล้วดี ทุกคนมักจะบอกต่อ ขนาดว่าไม่ได้อะไรก็ยังขยันที่จะบอกต่ออยากไม่รู้เหน็ดไม่รู้เหนื่อย แต่หากว่า มีแรงจูงใจที่จะบอกต่อมากขึ้น เช่น บอกต่อแล้วมีตังค์ใช้มันจะดีเพียงใด" คิดได้เช่นนั้นคฑาชายผู้นี้กลับยิ้มในใจก่อนหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วร้องขึ้นมาว่า
    "ยูเรก้า ฉันค้นพบแล้ว การตลาดที่ยอดเยี่ยมสุดๆ คือ การตลาดแบบเครือข่ายขายตรง 55555"
   
      ผลิกวิธีคิด "คิดแบบบอกต่อได้ตังค์"
     เคยไม?
    - หนังเรื่องนี้สนุกมากกกกกก เธอไปดูดิรับรองไม่เสียดายตังค์
    - สำต้มร้านนี้แซ่บหลายไปกินได้เลย.....รับรองเอาเกียรติเป็นประกัน
    - เธอไปทำผมร้านนี้ดิรับรองว่าไม่ผิดหวังดูชั้นสิ เริ่ดดดดดดดดดดดด
เชื่อมั่นว่าทุกคนเลยเป็นแบบนี้ด้วยความตื่นเต้นและจริงจัง แต่ขอถามด้วยความจริงใจว่า
"ขณะที่ท่านเล่าเรื่องแบบนั้นด้วยความสุข เจ้าของกิจการที่ท่านพูดถึงเคยมาตบมือชื่นชมขอบคุณ หรือ มอบเงินค่าบอกต่อให้ท่านหรือไม่?"
   เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยตอบว่า "ไม่!!!"
    แต่คฑาชายผู้ชาญฉลาดเห็นช่องทางนี้ ต่อไปนี้ถ้าฉันมีสินค้าอะไรก็แล้วแต่ที่คัดสรรค์มาแล้วว่ามีคุณภาพสุดวิเศษ มาส่งมอบให้กับทุกท่านจากนั้นเมื่อท่านใช้ดี ก็บอกต่อ แต่การบอกต่อไม่สูญป่าว เพราะเรามอบโบนัสกำนัลตอบแทนให้ท่านอย่างสมเหตุสมผลแน่นอน
   นี่ละคือจุดกำเนิดของธุรกิจเครือข่ายขายตรงนี่เอง......

     ท่านจะเห็นว่าธุรกิจเครือข่ายขายตรงเป็นสิ่งที่ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด กลับดูน่ารักสะมากกว่า และหากท่านยิ่งศึกษาให้ลึกมากไปกว่านี้ ท่านยิ่งจะตกหลุมรักธุรกิจเครือข่ายขายตรงมากขึ้น...เตือนไว้ก่อนนะครับ  ตอนหน้าเราจะมาพูดถึง ถึงความดีของธุรกิจเครือข่ายขายตรงกันครับ
   
    จงอย่ากลัวในสิ่งที่เราไม่รู้ เพราะสิ่งที่เราไม่รู้อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตเราให้ดีขึ้นแบบสุดๆได้
จงทำเมื่อกลัว ยิ่งกลัวยิ่งต้องรีบทำ เปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้า
ความสำเร็จเป็นจริงได้แน่นอน

   

       
         
   

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

มือใหม่หัดขายตรง

    พูดถึงเรื่องขายตรง,mlm หรือตลาดเครือข่าย มองกันได้หลายมุมม หากมองมุมดี(ที่มีมากกว่า) ก็มีมากมาย แต่หากมองมุมไม่ดี ซึ่งอาจมีน้อยกว่าแต่บางทีเสียงก็ดังกว่า ทำให้ผมกลับมานั่งคิดอะไรหลายๆอย่าง ไหนๆเราทำขายตรงเป็นอาชีพ รักสุดๆ ก็คงจะทำแบบสิ้นลมหายใจไปกับขายตรงนี้ละครับ
   มุมมองในส่วนตัวผมเอง เรื่องความดีไม่ดีในวงการขายตรง ผมมองไปถึงหลักการและปรัชญาที่เป็นแกนหลักของขายตรงซึ่งเป็นเรื่อที่ดีมากๆๆๆๆๆ แต่ที่แตกแขนงไปเป็นเรื่องดีบ้าง ไม่ดีบ้าง กลับอยู่ที่คนที่ใช้วิธีคิดและวิธีทำขายตรงที่แตกต่างกันมากกว่า
  บทพิสูจน์ที่มีให้เห็น คือ คนธรรมดากลายเป็นยอดคน มีเงินมีทองชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดี  จนแทบจะดูไม่ออกว่าเคยเป็นแม่บ้านจนมาก่อน อาชีพมหัศจรรย์จริงๆ แต่อีกมุม คือ การนำความโลภนำในการทำขายตรง สิ่งที่ตามมาคือ ความล้มเหลวของธุรกิจและความเกลียดชังและสาปแช่งลามไปทั้่งวงการ ทั้งๆที่นี้คือส่วนน้อย เข้าทำนองปลาเน่าตัวเดียว เหม็นทั้งข้อง สิ่งเหล่านี้คือเหรียญสองด้านของขายตรงที่หลายๆคนกำลังมองอยู่
   ผมได้ยินมาแว่วๆว่า นักธุรกิจขายตรงที่นับตัวได้ ตอนนี้มีราวๆ 7 ล้านคน นั่นหมายความว่าคนไทยอีกราวๆ 50 ล้านคน(ถ้าไม่นับเด็กๆอายุไม่ถึง 18 อาจจะไม่ถึง) ยังไม่เข้าสู่วงการขายตรง สิ่งที่น่าสนใจ คือ จะทำอย่างไรให้คนที่ยังไม่เข้าสู่วงการ เข้าสู่วงการให้ได้ เพราะนั่นคือโอกาสของเราทั้งนั้น จริงไมครับ?
   สืบเนื่องมาจากการพูดคุยกันแบบสัพเพเหระ สบายๆระหว่างการเดินทางไปลุยงานกับอ.ใจกล้า CEO ริชไทม คนเก่งก็ได้เกินไอเดียบ้างอย่างที่ "ปิ๊งแว๊บ" ต่อคำถามที่ว่าทำไมคนในประเทศไทย ส่วนใหญ่ยังมองขายตรงเป็นเรื่องลบๆ ไม่อยากเข้ามาในวงการ บางคนไม่อยากแม้แต่จะเฉียดกลาย
   สมมติฐานของผม มองไปยังเรื่องสำคัญ คือ เรื่องความรู้ ความเข้าใจเป็นประเด็นหลักเปรียบเหมือน คนเราเจอกันครั้งแรกมักไม่ชอบขี้หน้ากัน แต่หากอยู่ด้วยกันเรียนรู้กัน เข้าใจกันมากขึ้นย่อมจะทำงานร่วมกันได้อย่างสบายใจและมีความสุข......นี่ละใช่เลย
  ไม่มองคนอื่น กลับมามองเรา เหตุเพราะตัวเราเองนี้ละที่ไม่ได้ทำให้เขาเข้าใจ พอเขาไม่เข้าใจเขาก็เกลียดเรา ไม่อยากทำกับเรา ฉะนั้นเรามีทางออกดังนี
   - สร้างความรู้ ความเข้าใจผ่านสื่อต่างๆให้เขาเข้าใจ
   - สร้างที่ปรึกษาที่มีความรู้ ความเข้าใจขายตรงอย่างถ่องแท้
   - สร้างเครือข่ายสังคมแห่งความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับขายตรงให้แพร่กระจายไปให้กว้างไกลที่สุด
      ที่เหลือเป็นการใช้วิจารณญาณของท่านผู้ใช้ปัญญานำทางกันแล้วละครับ
      ผมเชื่อมั่นว่าบล๊อคนี้จะเป็นก้อนหินน้อยๆหนึ่งก้อน ที่โยนลงน้ำและกลายเป็นคลื่นใหญ่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการขายตรงต่อไป