วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

ต้นทุนที่ไม่เท่ากันกับการทำขายตรงให้ยั่งยืน



รายได้ที่ได้รับจากการขายตรงที่ดูมหาศาลเป็นหลักหลายๆล้าน โชว์บ้านแพง โชว์รถหรูกันเคยตั้งคำถามไหมครับว่าเขาจ่ายไปเท่าไหร่? ลงทุนอะไรไปบ้าง?

การทำขายตรง คือ การทำธุรกิจในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งต้องมีการลงทุนเช่นกันกับธุรกิจอื่นๆเช่นกัน

เบื้องหลังรายได้มหาศาล ย่อมมีการลงทุนมหาศาลเช่นกัน
หากมองแบบฉาบฉวยก็จะดูเหมือนว่า การทำขายตรง ได้เงินง่าย รวยเร็ว โดยที่ไม่ต้องทำอะไรมากมาย สบายๆอยู่เฉยๆลิฟท์แห่งความรวยจะส่งไปถึงที่หมายเอง แนวคิดแบบนี้กลับกลายมาเป็นกับดักกักปัญญาไม่ให้สัมผัสถึงความดีของธุรกิจขายตรงได้

มือใหม่หัดขายตรงทั้งหลายอาจจะต้องมาตั้งคำถามใหม่ว่า คนที่เขาสำเร็จรวยเป็นล้านจากขายตรงนี้ เขามีวิธีทำอย่างไร? และลงทุนไปมากน้อยเพียงใด? เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนและลงมือทำขายตรงที่ถูกทิศทาง

สำหรับเรื่องของการลงทุนนั้น เราอาจจะต้องมาเริ่มจากการทบทวนตัวเองก่อนว่าต้นทุนที่เรามีตอนนี้ คืออะไร? ซึ่งในที่นี้ไม่ได้มองแต่เพียงต้นทุนเรื่องเงิน รถ สิ่งปลูกสร้างเท่านั้น เรายังต้องมองไปถึงเรื่องของทักษะต่างๆที่เรามีอยู่ในตัว เช่น การตลาดออนไลน์  การนำเสนอ การขาย การถ่ายทอด  การบริหารจัดการ การขับขี่รถยนต์  และที่สำคัญมากๆ คือ การเรียนรู้ ซึ่งต้นทุนในรูปแบบที่จับต้องได้จะเกิดขึ้นได้นั้นบางคนอาจจะมีน้อย แต่ต้นทุนที่อยู่ในตัวเองหากมีน้อยหรือไม่มีเลย เราก็สามารถที่จะพัฒนาให้มีขึ้นมาได้หากเปิดใจให้กว้างและพร้อมจะเรียนรู้ และอย่างที่กูรูด้านการลงทุนอย่างวอร์เรน บัฟเฟต์ ได้เคยกล่าวไว้ว่า "การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด คือ การลงทุนกับตัวเอง" และการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในการทำธุรกิจขายตรงอย่างยั่งยืน คือ การลงทุนกับระบบและคนเพื่อ

จริงที่ต้นทุนของเราไม่เท่ากัน แต่หากมองเห็นคุณค่าตนเองมากพอและเชื่อมั่นในการพัฒนาศักยภาพของตัวเองให้เต็มที่ ผมเชื่อว่าเราจะไม่ได้สำเร็จแค่ธุรกิจขายตรงเท่านั้น หากอยากจะต่อยอดสู่ความสำเร็จด้านอื่นๆก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น